“ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” คือรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ การปลดล็อกกับดักเชิงโครงสร้างของไทยในยุคดิจิทัลจะเกิดขึ้นได้จริงต่อเมื่อทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถเชื่อมโยงข้อมูลบนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของชาติที่แข็งแกร่ง “สอดคล้องกับบริบทประเทศและชีวิตประชาชน”
ทวีศักดิ์ นิลวัชรมณี ประธานบริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์
ประธานบริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี เห็นพ้องกันว่า กับดักเชิงโครงสร้างและความท้าทายของประเทศไทย ไม่ใช่ความล่าช้าของรัฐ แต่คือการที่ข้อมูลบางอย่างยังคงแยกส่วน (Silo) ไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อน ต้นทุนสูง และขาดความยืดหยุ่นในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในระดับสากล
ดร.ธนพร เสริมว่า “การขาดการบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ยังทำให้ประเทศมองภาพรวมไม่ครบ
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ เมือง และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นฐานสำคัญของการวางนโยบายที่แม่นยำ”
การจะปลดล็อกข้อจำกัดนี้ จำเป็นต้องยกระดับระบบข้อมูลของประเทศให้เป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล”
ที่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง ภาครัฐ จากการทำงานแบบต่างหน่วยงาน สู่การเชื่อมโยง แชร์ และใช้ข้อมูลร่วมกัน
ภาคเศรษฐกิจ จากการลงทุนแบบกระจัดกระจาย สู่การใช้ข้อมูลเป็นฐานพัฒนาอุตสาหกรรม และภาคประชาชน จากการต้องวิ่งหาบริการ สู่การได้รับบริการที่ง่าย โปร่งใส และเท่าเทียม
“หัวใจสำคัญคือ ระบบที่บูรณาการข้อมูลกันได้จริง เพื่อให้การตัดสินใจของทุกภาคส่วนแม่นยำขึ้น
ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มคุณค่าให้กับประเทศโดยรวม”
อีกหนึ่งกับดักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ “Skill Trap” เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าความพร้อมของผู้คน ไม่ว่าจะเป็น Data, AI, Cloud, Cybersecurity หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน ทุกคนจึงต้องพัฒนาไปพร้อมกันทั้งทักษะและทัศนคติ เพราะ “เทคโนโลยีคือเรื่องของทุกคน” เมื่อทุกฝ่ายขยับทัน ประเทศก็พร้อมสู่การพัฒนาที่แข่งขันได้ โปร่งใส และยั่งยืน
+++ ‘2 เสาหลัก’ ก้าวข้ามกับดักประเทศ
สำหรับกลุ่มบริษัทซีดีจี ด้วยบทบาทที่ผลักดันโซลูชันต่าง ๆ ให้กับภาครัฐ และเอกชนมานานกว่า 50 ปี เชื่อว่าการปลดล็อกกับดักของประเทศไทย ต้องมุ่งผลักดันและยกระดับ “อีโคซิสเต็มดิจิทัลของชาติ (National Digital Ecosystem)”
ภายใต้ 2 เสาหลักที่สำคัญคือ Citizen Services ซึ่งยกระดับบริการของรัฐให้เข้าถึงประชาชนได้ง่าย โปร่งใส และเท่าเทียม และ GIS Technology หรือเทคโนโลยีแผนที่อัจฉริยะ ที่ช่วยวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อยกระดับการกำหนดนโยบาย การแก้ไขปัญหา การวางกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน การจัดการงบประมาณ และการบริหารประเทศให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพในระยะยาว ดร. ธนพร ฐิติสวัสดิ์ เปิดมุมมองว่า สำหรับเทคโนโลยี GIS ต้องยกระดับจากการเป็นเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือไปสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับประเทศ” เพราะข้อมูลเชิงพื้นที่คือรากฐานในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ทั้งการวางกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ การจัดการงบประมาณ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการบริหารเมืองและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ GIS ยังมีจุดแข็งสำคัญคือ การบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้ทุกหน่วยงานมองเห็นเป็นภาพรวมเดียวกันว่า “พื้นที่ใดควรลงทุน พื้นที่ใดควรอนุรักษ์ และพื้นที่ใดควรพัฒนา” เมื่อทุกข้อมูลเชื่อมโยงกันอยู่บนฐานเดียว ทุกการตัดสินใจจะแม่นยำลดความซ้ำซ้อน และทำให้นโยบาย การลงทุน และการพัฒนา เดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ ดังนั้น GIS คือเข็มทิศดิจิทัลที่จะช่วยเสริมศักยภาพการพัฒนาประเทศในระยะยาว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีทิศทาง ลงทุนและบริหารทรัพยากรได้ตรงจุด และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม
+++ เชื่อมโยงข้อมูล ขับเคลื่อนอนาคต
Thailand’s Great Reset ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหากับดักเชิงโครงสร้าง แต่คือการสร้างอนาคตใหม่ที่แข่งขันได้ โปร่งใส และยั่งยืน โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นรากฐาน ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
กลุ่มบริษัทซีดีจี เชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีคือพลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างสังคมที่ดีขึ้น เพราะเมื่อข้อมูลและเทคโนโลยีเชื่อมถึงกันจริง บริการของภาครัฐจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น การตัดสินใจเชิงนโยบายจะอยู่บนข้อมูลที่แม่นยำ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศจะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง “เมื่อข้อมูลเชื่อมโยงกัน ประเทศก็เดินหน้าไปด้วยกัน”
วันนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี GIS ในฐานะส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับชาติ (National Digital Infrastructure) เพราะมันทำหน้าที่เป็น “ระบบที่เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่” เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ และขับเคลื่อนไปสู่ยุค Data-Driven อย่างแท้จริง
เมื่อข้อมูลทุกภาคส่วนถูกเชื่อมโยงอยู่บนฐานเดียวกัน ความซ้ำซ้อนในด้านต่าง ๆ ก็ลดลง ต้นทุนทางเศรษฐกิจจะถูกใช้ตรงจุด ประเทศเดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกิดประโยชน์ทุกภาคส่วน
+++ ‘GIS’ กุญแจปลดล็อกศักยภาพประเทศ
หากมองถึง มิติทางเศรษฐกิจ GIS คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกกับดักทางเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพให้กับประเทศ เพราะเมื่อการวางแผนและการตัดสินใจอยู่บนข้อมูลจริง ประเทศจะสามารถใช้งบประมาณและทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ลดโครงการซ้ำซ้อน ลงทุนตรงจุดกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้แม่นยำ บนฐานข้อมูลเชิงพื้นที่
ขณะเดียวกัน ยังช่วย สร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุน เพราะสามารถมองเห็นศักยภาพของแต่ละพื้นที่ได้อย่างชัดเจน “พื้นที่ไหนเหมาะกับการพัฒนาแบบใด” ซึ่งนักลงทุนจะเห็นโอกาสและความเสี่ยงที่ชัดเจน พร้อมเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยการจัดสรรทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน (ที่ดิน เมือง ถนน พลังงาน) อย่างแม่นยำ ลดต้นทุนทั้งระบบ และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าเร็วขึ้น
กล่าวได้ว่า GIS คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนมองเห็น “ภาพรวม–ความเชื่อมโยง–และผลลัพธ์” จากการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เมื่อข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ถูกผสานอยู่บนแผนที่เดียวกัน ประเทศสามารถบริหารจัดการงบประมาณ การลงทุน และทรัพยากรได้คุ้มค่าขึ้น ลดความซ้ำซ้อน และจัดลำดับความสำคัญได้ตรงจุด
ในภาคโลจิสติกส์ GIS มีบทบาทสำคัญตั้งแต่การวางแผนเส้นทางขนส่ง การบริหารคลังสินค้า ไปจนถึงการบริหารยานพาหนะและการจัดการซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ ข้อมูลจาก GPS และ IoT ที่ถูกวิเคราะห์ร่วมกับแผนที่ช่วยให้ผู้ประกอบการลดเที่ยววิ่งเปล่า วางเส้นทางที่ใช้เชื้อเพลิงต่ำที่สุด และลดความล่าช้าในระบบจัดส่งสินค้าได้อย่างเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์คือการลดต้นทุนขนส่ง (ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 13–14% ของ GDP ไทย) และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าและการส่งออกของประเทศ
ในภาคพลังงานสะอาด GIS ช่วยระบุทำเลที่มีศักยภาพสูงสุดสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงสนับสนุนการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฮโดรเจน
โดยสามารถจำลองเส้นทางสายส่ง วิเคราะห์ต้นทุน และประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ รวมถึง วางแผนโครงสร้างสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Infrastructure) โดยวิเคราะห์ความหนาแน่น
ของยานยนต์ไฟฟ้า ปริมาณการเดินทาง และโครงสร้างถนน เพื่อเลือกจุดติดตั้งที่เหมาะสมที่สุด ตอบโจทย์การใช้งานจริง รองรับการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ลงทุนได้ตรงจุด กระจายพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความมั่นคงในระยะยาว
การยกระดับ GIS สู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของชาติ คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทย
ไม่เพียงแต่ด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ หรือวางรากฐานพลังงานสะอาดที่มั่นคงและยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับทุกภาคส่วนและทุกอุตสาหกรรม สร้างความสามารถแข่งขันใหม่ของไทยในเวทีโลก
+++ คืนเวลา คืนโอกาส คืนพลังเศรษฐกิจ
คุณทวีศักดิ์ ผู้บริหารคอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) เผยว่า Citizen Services คือรากฐานของดิจิทัลอีโคโนมีที่มักถูกมองข้าม หลายครั้งเวลาพูดถึงการยกระดับเศรษฐกิจ มักโฟกัสไปที่โครงสร้างใหญ่ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรม หรือการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทันสังเกตก็คือ “ประชาชน” ต่างหากคือ Workforce ตัวจริงที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากประชาชนยังต้องเสียเวลามหาศาลไปกับการทำธุรกรรมราชการที่ซับซ้อน เศรษฐกิจก็จะไม่สามารถเดินหน้าเต็มศักยภาพได้ เพราะเวลาที่หายไปเหล่านี้ คือเวลาที่ควรจะถูกใช้ในการทำงาน การสร้างรายได้ การพัฒนาทักษะ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
ดังนั้น การพลิกโฉมบริการภาครัฐจาก “Passive” สู่ “Proactive” โดยใช้โซลูชันที่เหมาะสม จึงไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มความสะดวก แต่คือการปลดล็อกกับดักและต้นทุนที่มองไม่เห็น นั่นคือ “เวลาและต้นทุนธุรกรรมที่สูญหาย” และ “พลังเศรษฐกิจ” ที่เมื่อรวมกันทั้งประเทศกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจจำนวนมากที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด
การเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยการบูรณาการหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน (Data Exchange) โดยมี Digital ID เป็นหัวใจสำคัญในการยืนยันตัวตนของประชาชนอย่างปลอดภัย โปร่งใส และเป็นมาตรฐานเดียว พร้อมนำ AI เข้ามาเป็นสมองกลช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ ทำให้บริการของรัฐสามารถ “ขยับก่อน” ความต้องการของประชาชน ท้ายที่สุดแม้เทคโนโลยีจะเป็นตัวเร่งสำคัญ แต่สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ความไว้วางใจ (Trust) จากประชาชน
“Proactive Citizen Services ไม่ได้แค่ทำให้รัฐสะดวกขึ้น แต่คือการคืนเวลา คืนโอกาส และคืนพลังเศรษฐกิจให้กับประชาชนทั้งประเทศ”
+++ สิ่งที่ท้าทายและบทบาท ‘ซีดีจี’
สำหรับ กลุ่มบริษัทซีดีจี ผู้อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ของประเทศตลอดระยะเวลา 56 ปีที่ผ่านมา พร้อมให้การสนับสนุน ลดข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้งานไดอย่างมีประสิทธิภาพ
2 เทคโนโลยีเสาหลักที่จะช่วยปลดล็อกกับดักเศรษฐกิจ คือ GIS as National Digital Infrastructure ผลักดันให้ระบบข้อมูลเชิงพื้นที่กลายเป็นรากฐานดิจิทัลของชาติ และ Digital Citizen Services ยกระดับบริการภาครัฐให้เป็นเชิงรุก ทำให้การบริการของรัฐพลิกจาก Passive สู่ Proactive
ในอีก 5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าประเทศไทยจะก้าวข้ามกับดักเดิม ๆ ได้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแรง เอื้อให้หน่วยงานภาครัฐให้บริการ proactive มีความโปร่งใส เข้าถึงอย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงถึงกัน สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นสำคัญ
ยอมรับว่าเส้นทางนี้ไม่ง่าย ต้องเผชิญความท้าทายในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น ระบบเก่า (Legacy Systems) ข้อมูลแยกส่วน (Data Silos) ช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide) และความเชื่อมั่นด้านข้อมูล (Trust & Privacy) ฯลฯ
กลุ่มบริษัทซีดีจี พร้อมเป็น เบื้องหลังการสร้างแพลตฟอร์ม มาตรฐาน และโครงการนำร่อง เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดผลลัพธ์จริง โดยคาดหวังจะได้เห็นประเทศไทยมี โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแรง บริการภาครัฐที่เชื่อมถึงประชาชนอย่างแท้จริง และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เมื่อข้อมูลและบริการเชื่อมถึงกัน หมายถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้นและประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน


